ว่าด้วยเรื่องวินัยของมุนษย์ฟรีแลนซ์ (ตอนที่ 3: เงิน เงิน เงิน!!!)

หลังจากที่ห่างหายจากการโพสต์ไปนาน เนื่องจากมีงานที่จะต้องสะสางและอื่นๆอีกมากมาย Things that Matter’s Blog ได้กลับมาแล้วเด้อ!

หลังจากเราได้พูดถึงเรื่อง สุขภาพ ที่เราจะต้องรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ จะได้ไปทำงานได้โดยที่ไม่ต้องลาหยุด และ วินัยในการทำงาน ที่ไม่ควรลาบ่อย ตรงต่อเวลา และ การเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนที่จะไปทำงาน

รอบนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องที่เราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่า ถึงจะทำงานที่รักยังไง เงินติดกระเป๋าก็ต้องมี เงินเก็บในบัญชีต้องไม่ขาด จริงมั๊ยคะ?

Billion Back Records money cash make it rain dollar GIF
Credit: Billy Back Record GIPHY

 

คำถามที่อยากจะให้ทุกคนลองคิดกับตัวเองคือ
“ต้องได้เงินเท่าไหร่ถึงจะพอ?”

บางคนบอกว่าต้องได้ เดือนละ 30,000 ก็อยู่ได้แล้ว อีกคนบอกว่า ต้องได้สัก 100,000 บาทถึงจะอยู่ได้…เราเลยอยากจะบอกว่า ไม้บรรทัดของแต่ละคนมันไม่เท่ากันจริงๆ เงินไม่ได้ลอยมาหาเราง่ายๆนะคะ เราต้องขยันทำงานด้วย และ มองหาโอกาสอยู่ตลอดเวลาค่ะ 😉

สิ่งนึงที่เราอยากจะชี้แจงสำหรับคนที่กำลังคิดที่อยากจะออกมาทำงานให้ตัวเอง ไม่ต้องเข้างานออฟฟิศ ก็คือเราต้องเข้าใจว่า เราจะได้รับเงิน ต่อเมื่อเราไปทำงานได้จริงๆ เท่านั้น! ถ้า No Show ไม่ว่าจะด้วยเหตุได้ก็ตาม ลากิจ ลาป่วย หรือลาเที่ยว ถือว่ารายได้วันนั้นก็เท่ากับ 0 (ศุนย์) ค่ะ!

แล้วตัวเราเองจัดการกับเงินนั้นยังไง?​

ส่วนตัวแล้วไม่ว่าจะได้เงินมาในแต่ละเดือนเท่าไหร่ เราจะแบ่งเงินเก็บออกเป็นหลายๆ ส่วนค่ะ พอได้เงินค่าจ้างต่างๆ นาๆ มาในแต่ละเดือนเราจะแยกเงินเป็น 4 ส่วนหลักๆ ดังนี้ค่ะ

Image result for Money saving
From: http://businessingambia.com/habits-good-money-savers/
  1. เงินเก็บระยะยาว เช่น LTF ลงทุนกองทุนต่างๆ ให้มีผลกำไรงอกเงยมากกว่าค่าเงินเฟ้อ และมีใช้ตอนที่เราเดือนร้อน และเมื่อเรา AGE (แก่)! เบี้ยประกันชีวิตต่อปี (อันนี้ก็จะเอาเงินที่ต้องจ่ายต่อปีมาหาร 12 แล้วดูว่าต่อเดือนต้องออกเท่าไหร่ จ่ายจริงจะได้ไม่เจ็บมาก)
  2. เงินเก็บระยะสั้น เช่น เงินจ่ายค่าเรียน (อันนี้ก็หารแบ่งจากแต่ละเดือนไปใส่กองทุนตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ พอถึงเวลาจ่ายเงินเราก็จะได้ถอนเงินออกมา พร้อมกับดอกเบี้ยอีกนิดหน่อย นิดจริงๆนะ) และเงินที่เก็บไว้เผื่อมีเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล ที่ต้องเอาออกมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอขายกองทุน (ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ควรหาประกันสุขภาพเอาไว้นะ แหะๆ)
  3. เงินเที่ยว เราจะแบ่งเก็บไปเลยเป็นก้อนต่อเดือน แล้วก็เลือกเอาว่าจะไปเที่ยวที่ไหน อยู่ในงบมั๊ย เพราะเราเชื่อว่าทำงานมาเหนื่อยๆ ก็ต้องหาเวลาไป recharge บ้าง ไปเห็นโลกบ้าง
  4. เงินใช้ชีวิต ก็คือเก็บไว้ใช้ในชีวิตประจำวันนั้นหละ ซื้ออาหาร ช้อปปิ้งอะไรก็ว่าไป

แนะนำว่าให้แบ่งเก็บตั้งแต่ได้รับเงินมาเลยนะคะ จะได้ไม่ใช้เงินเพลินจนไม่เหลือเก็บ 😉

ที่นี้ habit หรือ นิสัยต่างๆ ที่ทำให้เราใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย บวกกับการตลาดขั้น advanved ที่มาหลอกเงินในกระเป๋าของเราออกไปอยู่เรื่อยจนบางที เราก็เห็นเพื่อนของเราต้องทานมาม่าในช่วงสิ้นเดือน (สิ้นใจ) อยู่บ่อยครั้ง

 bart simpson episode 4 season 12 empty broke GIF
From: simpsonsworld.com

เราต้องมีกลยุทธ์ในการใช้เงินค่ะ! 

หูยย…ดูยิ่งใหญ่

คำถามแรก สิ่งนี้เป็นเพียงสิ่งที่ “จำเป็น” กับชีวิตเราหรือไม่?

คำถามที่สอง นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึก “อยากได้” หรือเปล่า?​

โดยมากแล้ว โดยเฉพาะ เพศหญิงอย่างเจ้าของ blog นั้น ได้ผ่านการใช้เงินแบบไม่คิด ไม่ยับยั้งชั่งใจมาค่อนข้างเยอะ ตกเป็นเหยื่อการตลาด (ทั้งๆ ที่มีใบปริญญาทางด้านการตลาด และ จิตวิทยามา ฮ่าๆๆๆ) อยู่บ่อยครั้ง จนเราได้มารู้จักกับ concept ของความ minimal ที่ในบ้านของชาว minimal นั้นจะมีเพียงสิ่งของที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต และ อุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นต่อการทำงานเท่านั้น ที่เหลือคือ บริจาค ขายต่อ หรือ โละทิ้งให้หมด!

Image result for minimalist home
From: https://homeadore.com/2016/07/13/minimalist-house-tukurito-architects/

ของทุกอย่างที่เจ้าของบ้านจะเอาเข้ามาในบ้านต้องจำเป็นจริงๆ ไม่ทำให้บ้านรก และต้องได้ใช้จริงๆ ซึ่งเราเองก็นำมาปรับใช้บ้างในเรื่องของ การคิดก่อนซื้อ ด้วยวิธีการดังนี้ค่ะ

เห็นแล้วอย่าเพิ่งซื้อ
ให้เอากลับไปนอนคิดสักวันสองวันก่อน (หรือจะนานกว่านั้นก็ได้) ถ้าความรู้สึกที่เราอยากมีมันค่อยๆ หายไป สิ่งนั้นอาจจะไม่จำเป็นกับเราจริงๆก็ได้

ข้อดีก็คือ เงินอยู่ครบ! และบ้านไม่รก เย้!!!!

แล้วยิ่งของบางอย่างที่เพื่อนๆ ของเรานิยมใช้ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า กระเป๋าดีไซน์เนอร์ราคาแพง หรือ gadget ต่างๆ เราต้องมองกลับมาที่ตัวเราว่าจริงๆ แล้วเราจะได้ใช้มั๊ย เราจะหยิบมันขึ้นมาใช้แต่ 1 เดือน แล้ววางมันอยู่บนชั้นเก็บของจนฝุ่นจับมั๊ย?​

ความอยากที่จะช้อปปิ้งของคนเรามาจากไม่กี่อย่างหรอกค่ะ เราจะยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพนะคะ

  1. สภาพจิตใจไม่ปกติ เช่น เครียด อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน
    เคยได้ยินคำว่า shopping therapy มั๊ยคะ เรามักจะถูกเพื่อนสาวชวนไปช้อปปิ้งหรือออกไปดื่มช่วงที่เราไม่ค่อยโอเค แล้วเราก็จะใช้เงินเยอะจนลืมตัว รูดปรื๊ดๆ!
  2. พ่ายแพ้ต่อป้าย SALE และ กลยุทธ์การตลาด
    ป้าย Sale ตามร้านค้า ตามห้าง เนี่ยแหละค่ะ ตัวดี เคยได้ยินบางคนที่ชอบช้อปปิ้งมากๆมักจะบอกว่า พอซื้อของลดราคา หรือว่า ซื้อของแบบเดียวกัน แต่ราคาถูกว่าเพื่อน เหมือนรู้สึกว่า “ชั้นชนะ!” แต่เงินในกระเป๋านี่แพ้ราบคาบเลยนะยูว์​ ระวังด้วยค่ะหล่อน!

แล้วหลังจากเสียเงินล่ะ เป็นอย่างไรกัน?

From: https://www.theodysseyonline.com/shopaholic-problems

วันแรก ที่ซื้อพอเอาของออกมาก็จะรู้สึกชื่นชม รู้สึกฟินหนักมาก รู้สึกว่าอารมณ์ที่ เครียด เศร้า และ down หายไปชั่วขณะ ย้ำว่าชั่วขณะเท่านั้น! แล้วอารมณ์และสภาพจิตใจของเราก็จะกลับเข้าสู่สภาวะเดิมอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่ว่าบิลบัตรเครดิตยังเดินทางมาไม่ถึงบ้านเลยนะยูว์ ดังนั้น การเข้าสู่โหมด Shopping Spree เป็นการแก้ปัญหาเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ความสุขต้องเริ่มที่ตัวเรานะคะ ไม่ใช่วัตถุ

เวลาผ่านไป ของบางอย่างที่เราคิดว่าเราชอบ อาจจะถูกวางอยู่ในตู้ใดตู้หนึ่งในบ้าน แล้วเราไม่ได้หยิบมันมาใช้อีกเลย กลายเป็นของรกบ้านไปซะงั้น เอาออกไปขายก็ใช่ว่าจะได้ราคาดี ราคาของใช้ต่างๆ เมื่อถูกนำไปใช้แล้ว มักจะไม่มีมูลค่าเลยนะคะ นอกเสียจากว่าของที่เราซื้อมามีมูลค่าในตัวมันเอง เช่น ทองคำ กระเป๋าดีไซน์เนอร์ที่เหล่าสาวตามล่ากันเช่น Louis Vuitton, Hermes, หรือ Chanel แถมต้องเป็นรุ่นที่เค้าล่ากันด้วยนะ  และกว่าที่เราจะหาคนมาซื้อของมือสอง ราคาเป็นหมื่นเป็นแสนมันก็ไม่ได้ง่ายนะคะ

Image result for confessions of a shopaholic credit card sceneเราไม่สนับสนุนให้คนเป็นหนี้จากการใช้จ่ายโดยไม่ยั้งคิดค่ะ ไม่งั้นจะมีสภาพเป็นแบบในหนัง Confession of a Shopaholic นะคะคุ๊ณณณ! และอย่าอ้างว่าตอนสุดท้ายนางเอาของไปขายได้ ในความเป็นจริงแล้วทุกคนก็ไม่ได้โชคดีแบบนางนะคะ เรามองทุกอย่างจากความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า Realist นั่นเอง

ดังนั้นก่อนจะใช้เงิน เราขอแนะนำว่าให้คิดก่อน จำเป็นมั๊ย เอากลับไปนอนคิด ถ้าอยากได้จริงๆกลับมาของที่เราอยากได้ก็ไม่น่าจะหายไปไหน

ข้อดีของการใช้หลักการคิดแบบ Minimalism บวกกับ lifestyle ของ มนุษย์ฟรีแลนซ์​ อย่างเราถือว่าเหมาะสมกันดีค่ะ ถ้าใครอยากจะนำไปปรับใช้กับตัวเองเราก็ไม่หวงเลยค่ะ

Leave a comment